• คลังความรู้
  • /
  • บทความ
  • /
  • ว่าด้วยเรื่องความสมบูรณ์ของชีวิต และความหมายของเงิน ตั้งแต่ผมกลับมาจากการทำงานที…

ว่าด้วยเรื่องความสมบูรณ์ของชีวิต และความหมายของเงิน ตั้งแต่ผมกลับมาจากการทำงานที…

ว่าด้วยเรื่องความสมบูรณ์ของชีวิต และความหมายของเงิน
ตั้งแต่ผมกลับมาจากการทำงานที่ปักกิ่ง คำถามที่ผมมักจะถูกถามบ่อยๆ จากทั้งๆ เพื่อนๆ พี่ๆ คนที่ทำงานและคนใกล้ชิดคือ “ อยู่ที่ไทยดีกว่า หรืออยู่ที่จีน (ปักกิ่ง) ดีกว่า?”

ผมตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำแบบแทบจะทันทีเลยครับว่า “อยู่ที่ไทยดีกว่า” และหลายๆคนก็จะสงสัยว่าทำไมอยู่ที่ไทยดีกว่า เพราะที่จีน (ปักกิ่ง) ก็ดูเจริญกว่าไทยมาก อยู่ที่โน่นทำงานรายได้ก็มากกว่า สถานการณ์บ้านเมืองก็ดูจะมีเสถียรภาพ หรือนิ่งกว่าบ้านเรา ดูมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่า และอื่นๆๆๆ

ผมขอบอกอย่างนี้ครับว่า เพราะอยู่ที่ไทย “ความสมบูรณ์ของชีวิต มีได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า”

ความสมบูรณ์ในชีวิตคืออะไร และมันมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเมื่ออยู่ที่ไทยได้ยังไง
ความสมบูรณ์ของชีวิตในนิยามของคนแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปตามรายละเอียด แต่ปัจจัยหลักๆผมคิดว่าน่าจะไม่แตกต่างกันมากนัก
ปัจจัยที่เป็นพื้นฐานความสมบูรณ์ของชีวิตของใครหลายๆคนผมเชื่อแน่ว่าคือ ปัจจัย 4 หรือก็คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และนอกจากนี้ก็ยังมีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจได้อย่างเต็มปอด รวมทั้งการแสวงหาความสงบ ความสุขในชีวิตไม่ว่าจากการได้เดินทางท่องเที่ยว การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การเข้าสังคม ต่างมีต้นทุนที่ต่ำกว่าทั้งสิ้นที่เมืองไทย ยกตัวอย่างง่ายๆ ผมสามารถใช้เงินไม่ถึง 10,000 บาท ก็สามารถจัดทริปดีๆให้ครอบครัวได้ไปว่ายน้ำทะเลใสๆ หรือได้เดินป่าที่เขียวๆ สวยๆ ทานอาหารดีๆ สัก 3-4 วัน แบบสบายๆ ได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าผมอยู่ปักกิ่ง เงิน 2,000 หยวน พาครอบครัวผมไปได้แค่เมืองใกล้ๆ ปักกิ่งสัก 2 วัน ยังไม่ทันจะเห็นน้ำทะเลใสๆ หรือป่าเขียว เลย เงินก็อาจจะหมดแล้ว และที่นั่นไม่ใช่ว่าจะไปได้ตลอดปีนะครับ หน้าหนาวที่หนาวมากเราก็ไม่อยากจะออกไปไหนกันแล้ว(และนี่ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ในช่วงก่อนโควิดมีคนจีนเดินทางมาเที่ยวไทยปีละกว่า 10 ล้าน มีชาวต่างชาติมาเที่ยวไทยปีละเกือบ 40 ล้านคน)

แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่ารายได้ตอนนี้ที่อยู่เมืองไทยคิดแล้วเป็นเพียง 1 ใน 7 ของรายได้ตอนที่ทำงานอยู่ที่จีนแล้วไม่ลำบากแย่เลยหรือ

ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องที่อยู่อาศัย ต้องบอกว่าถ้าคุณไม่ใช่คนปักกิ่ง ที่มีบ้านอยู่ในปักกิ่งแล้วละก็ การที่คุณต้องเช่าบ้านในปักกิ่งเป็นเรื่องที่น่าขนลุกพอสมควร ด้วยหากอยากมีที่พักดีๆสักสามห้องนอนต้องยอมจ่ายค่าเช่าที่สูงลิบลิ่ว เปรียบเทียบง่ายๆ บ้านผมตอนนี้เป็นบ้านแฝดสามห้องนอน มีพื้นที่สวนเล็กๆ ต่อเติมตกแต่ง อยู่สบาย ใกล้ที่ทำงาน ราคา 3 ล้านกว่าบาท
เมื่อเทียบกับอพาร์ตเมนต์สามห้องนอนตอนผมอยู่ที่จีน พื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกับบ้านผมตอนนี้ (ประมาณ 160 ตร.ม.) แต่ความอยู่สบายไม่ได้แตกต่างกันหรืออาจนับได้ว่าน้อยกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีสวนเล็กๆให้เด็กๆวิ่งเล่น ไม่มีพื้นดินให้สัมผัส เรื่องของความสะดวก ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยได้มากทั้งเรื่องการสั่งซื้อของกินและของใช้ เรื่องนี้บ้านที่ไทยและอพาร์ตเมนต์ที่เคยอยู่ที่จีนจึงไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สนนราคาค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ที่จีนที่เคยอยู่จะอยู่ที่สามหมื่นกว่าหยวน หรือประมาณ 150,000 -160,000 กว่าบาทต่อเดือน ราคาค่าเช่าขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงราคาซื้อขายแล้วนะครับว่าจะขนาดไหน คนต่างบ้านต่างถิ่น หากอยากทำงานในปักกิ่งต้องจ่ายขนาดไหน ทำงานหนักขนาดไหน ถึงจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลองคิดดูนะครับ ผมยังโชคดี ที่ทำงานออกค่าที่พักให้ รายได้ไม่ต้องแบ่งมาเป็นค่าเช่าที่พัก แต่ผมก็ไม่ได้เลือกที่จะใช้เงินรายได้ในการหาความสุขทั้งหมด ด้วยภาระบ้านที่เมืองไทยที่ยังผ่อนไม่หมด คอนโดที่ซื้อไว้อีกหลายห้องที่ยังเป็นหนี้อยู่ รถที่ต้องซื้อ ครอบครัวที่ต้องดูแล ฯ ผมจึงเลือกเก็บเงินมาปลดหนี้ให้กับตัวเองดีกว่า

ทีนี้มาว่าด้วยเรื่องของเงิน ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ผมว่าเงินก็คือแครอท ที่ผูกติดไม้ไว้เพื่อใช้ล่อให้ลาเดินไปข้างหน้าเพื่อให้คนที่ถือไม้แครอทบนหลังลาไปถึงจุดหมาย ผมเคยใช้พลังของ leverage หรือการยืมเงินคนอื่นมาใช้แบบอาจจะเรียกว่าเกินตัว เพราะมันทำให้ผมเป็นทุกข์เกินไปในการที่จะต้องเดินหน้าไปกินแครอทให้ได้ ไม่อย่างนั้นภาระบนหลังก็จะทับจนหลังหัก หรือไม่ก็พยายามเดินไปกินแครอทจนเหนื่อยจนป่วยและเดินต่อไปไม่ไหว ซึ่งนั่นก็คงเหมือนกับใครอีกหลายๆคนบนโลกนี้ที่เกิดมามีต้นทุนน้อยกว่าหรือติดลบ ทำให้ต้องพยายามเดินไปกินแครอทที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ยิ่งยุคนี้ที่หลายๆประเทศต่างก็เสกแครอท (พิมพ์แบ้งค์ ออกมาตรการ QE) มาให้อีกหลายๆประเทศ ต้องขุดเอา หาเอาทรัพยากรของตนเองไปแลกกับแครอทปลอมที่เขาเสกขึ้นมา ดังนั้น เงินจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายที่ช่วยให้ชีวิตมีความสุขที่สุด แต่ครั้นจะไม่กินแครอทเลย ลาอย่างผมก็คงอยู่ไม่ได้
ซึ่งก็โชคดีที่การไปทำงานในต่างประเทศ ได้ช่วยให้ผมถ่ายน้ำหนักบนหลังลาออกไปได้บ้าง และก็โชคดียิ่งกว่าที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย อาศัยอยู่ในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีผู้นำคือองค์พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เป็นแบบอย่างและได้ค้นพบ ถ่ายทอดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับคนในประเทศ ไม่ต้องหลงไปกับแครอทที่ผูกติดไว้กับไม้ที่เอาไว้ใช้ล่อลาอย่างผมให้พยายามเดินไปกินแครอทที่อยู่ตรงหน้ามากจนเกินไป (กินมากไปอ้วนก็ทุกข์อีก)

รู้อย่างนี้แล้วจะรออะไรละครับ ก็ต้องขอขอบคุณงานที่ทำ ทำให้มีวันนี้ นอกจากจะช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วยังช่วยให้ได้มีโอกาสทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้คน ขอบคุณแผ่นดินเกิดที่มีความอุดมสมบูรณ์ ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ช่วยให้ต้นทุนในชีวิตของเราไม่ติดลบ ขอบคุณองค์พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เป็นแบบอย่างให้กับทุกคนในประเทศครับ

ขอบคุณที่มาของข้อมูล :
แฟนเพจ Beijing Story by Keng

อัพเดทล่าสุด

Facebook

ติดตามเราบน Facebook

Youtube

ติดตามเราบน Youtube

ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เลขที่ 21 ถนนกวงหวา เขตฉาวหยาง กรุงปักกิ่ง 100600 สาธารณรัฐประชาชนจีน อีเมล : [email protected]

© 2020-2024 Science and Technology Section, Royal Thai Embassy in Beijing Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, 21 Guanghua Road, Chaoyang District, Beijing 100600 P.R.C. E-mail: [email protected]